
โครงการ คนละครึ่ง ยังคงเป็นหนึ่งในนโยบายที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในสังคมไทย เพราะไม่เพียงช่วยพยุงเศรษฐกิจระดับฐานราก แต่ยังเป็นตัวเชื่อมให้ประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลมีส่วนช่วยแบ่งเบาภาระจริงๆ ล่าสุดปี 2568 รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้ปัดฝุ่นโครงการนี้อีกครั้ง พร้อมยกระดับเป็น “คนละครึ่งพลัส” หรือที่หลายคนเรียกว่า “คนละครึ่งอนุทิน” ที่มีสิทธิประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิม
จุดเริ่มต้นและงบประมาณที่ทุ่มลงมา
รัฐบาลได้เตรียมงบประมาณกว่า 25,000 ล้านบาท เพื่อเดินหน้าโครงการอย่างเร่งด่วน โดยตั้งเป้าให้ประชาชนเริ่มใช้สิทธิได้เร็วที่สุดในเดือนตุลาคม 2568 หรือภายใน 1 เดือนหลังรัฐบาลเริ่มทำงานจริง นายอนุทินย้ำชัดว่า “พูดแล้วต้องทำ” และถือเป็นมาตรการเร่งด่วนเพื่อกระตุ้นกำลังซื้อของคนไทยในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว
เงื่อนไขใหม่ “คนละครึ่งพลัส”
โครงการครั้งนี้ถูกออกแบบให้มีความแตกต่างจากเดิม โดยแยกกลุ่มผู้ได้รับสิทธิออกเป็น 2 ประเภทชัดเจน
- กลุ่มผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
- ได้สิทธิพิเศษ “รัฐช่วยจ่าย 60% และประชาชนจ่าย 40%” หรือ 60:40
- ครอบคลุมประชากรราว 11 ล้านคน
- มีแนวทางเพิ่มวงเงินมากกว่ารอบก่อน เช่น จาก 1,000 บาท อาจปรับเพิ่มเป็น 1,200 บาท/คน
- ประชาชนทั่วไปและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
- ใช้สิทธิ 50:50 แบบเดิม
- ผู้ถือบัตรสวัสดิการอาจได้ Top Up พิเศษ เช่น เดิมมี 300 บาท รัฐบาลเติมให้อีก 700 บาท รวมเป็น 1,000 บาท เพื่อไม่ให้เสียเปรียบ
วิธีลงทะเบียนรับสิทธิ
การลงทะเบียนยังคงทำได้ 2 ช่องทางหลัก คือ
- เว็บไซต์ www.คนละครึ่ง.com
- แอปพลิเคชัน “เป๋าตัง” โดยต้องผูกกับ G-Wallet และเติมเงินก่อนใช้
ขั้นตอนการใช้งานแอป “เป๋าตัง”
- ดาวน์โหลดจาก App Store หรือ Google Play (รองรับ Android 9.0+ และ iOS 15.0+)
- เปิดแอป กดยอมรับการจัดการข้อมูล
- ใช้บัตรประชาชนยืนยันตัวตน ถ่ายรูปบัตร และกรอกเบอร์มือถือเพื่อรับรหัส OTP
- ยืนยันตัวตนได้ 2 วิธี
- Krungthai NEXT : เข้าสู่ระบบ กรอกรหัส OTP และตั้ง PIN
- สแกนใบหน้า : ใช้ระบบสแกน ตั้ง PIN และเปิดใช้งาน Face/Touch ID
- หากสำเร็จ ระบบจะแสดงการ์ด G-Wallet บนหน้าจอทันที
จุดเด่นของ “คนละครึ่งพลัส”
นโยบายใหม่นี้มีการออกแบบที่สอดคล้องกับแนวคิดการ “ดึงคนเข้าสู่ระบบภาษี” ผู้ที่อยู่ในระบบจะได้สิทธิพิเศษมากขึ้น และยังขยายความช่วยเหลือแก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการให้ไม่เสียเปรียบคนทั่วไป โดยคาดว่าจะช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายในร้านค้าปลีก หาบเร่ แผงลอยทั่วประเทศ
ร้านค้าที่เข้าร่วมและข้อจำกัด
ร้านค้าที่เข้าร่วมไม่ต้องกังวลเรื่องตรวจสอบภาษีย้อนหลัง รัฐบาลยืนยันว่าจะไม่มีการเช็กบิลย้อนหลัง แต่หากยอดขายเพิ่มขึ้นจนถึงเกณฑ์เสียภาษี นั่นถือเป็นความรับผิดชอบตามปกติ สินค้าต้องห้ามยังคงเหมือนเดิม เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ บุหรี่ และบริการบางประเภท
คาดการณ์ผลกระทบทางเศรษฐกิจ
โครงการนี้นอกจากช่วยประชาชนประหยัดค่าใช้จ่ายแล้ว ยังทำให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว โดยจากสถิติในอดีตรอบก่อนหน้า โครงการคนละครึ่งช่วยให้ร้านค้าเล็กๆ และ SMEs มีรายได้เพิ่มขึ้นแบบเห็นได้ชัด ทั้งยังช่วยลดการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในยามที่กำลังซื้อของคนอ่อนแรง
อนาคตของโครงการคนละครึ่ง
แม้ปัจจุบันยังเป็นเพียงโครงการเร่งด่วน แต่หลายฝ่ายมองว่าหากบริหารจัดการได้ดี “คนละครึ่งพลัส” อาจกลายเป็นโมเดลถาวรในการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะไม่ใช่แค่การแจกเงิน แต่เป็นการสร้างพฤติกรรมการใช้จ่ายที่ผูกกับระบบดิจิทัล เช่น G-Wallet และการชำระเงินผ่าน QR Code ที่ทำให้ประเทศก้าวไปสู่ สังคมไร้เงินสด อย่างเต็มรูปแบบ
สรุป
คนละครึ่ง 2568 คือการกลับมาของนโยบายที่หลายคนรอคอย คราวนี้มีการอัปเกรดเป็น “คนละครึ่งพลัส” ที่ให้สิทธิประโยชน์มากกว่าเดิม โดยเฉพาะกลุ่มผู้เสียภาษีและผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ถือเป็นการออกแบบที่หวังผลทั้งระยะสั้นและระยะยาว ทั้งช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และสร้างฐานข้อมูลประชาชนในระบบดิจิทัล หากโครงการนี้เดินหน้าได้ทันเดือนตุลาคมจริง เชื่อว่าจะกลายเป็นอีกหนึ่ง Big Win ของรัฐบาลชุดนี้อย่างแน่นอน
ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา