
วันนี้ (29 ส.ค. 2568) คือวันที่สายตาทั้งประเทศจับจ้องมาที่ ศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งนัดประชุมลงมติชี้ชะตาและอ่านคำวินิจฉัยสำคัญต่อสถานะของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าจะยังคงดำรงตำแหน่งต่อไป หรือจะต้องสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ จากกรณี คลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา ที่กลายเป็นประเด็นร้อนเขย่าวงการการเมืองไทย
คำร้องและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
คดีนี้เริ่มจาก สมาชิกวุฒิสภา 36 คน ที่ร่วมกันยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภา เพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย โดยอ้างว่าการกระทำของน.ส.แพทองธาร ขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4)(5) ซึ่งบัญญัติว่ารัฐมนตรีต้องมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และไม่ฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญได้มีคำสั่งให้น.ส.แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว และนับแต่นั้นมาการเมืองไทยก็ตกอยู่ในภาวะลุ้นระทึก โดยมีการไต่สวนและให้ส่งคำแถลงปิดคดีไปเมื่อ 25 สิงหาคม ก่อนที่วันนี้จะถึงกำหนด อ่านคำวินิจฉัย ในเวลา 15.00 น.
บรรยากาศรอบศาลรัฐธรรมนูญ
ตั้งแต่เช้า บริเวณสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญในศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ มีการรักษาความปลอดภัยเข้มงวด เจ้าหน้าที่ตำรวจจาก บก.น.2 พร้อมกำลัง 1 กองร้อย รวมถึงเจ้าหน้าที่ EOD และสุนัขตำรวจ ตรวจตราทั่วบริเวณ มีการเตรียมรถจีโน่และกำลังเสริมรองรับสถานการณ์หากเกิดการชุมนุม แม้จนถึงช่วงเช้าจะยังไม่พบมวลชนจำนวนมาก
นอกจากนี้ยังมีการจัดตั้งจอโทรทัศน์ถ่ายทอดสดจากห้องพิจารณาคดีมายังพื้นที่สำหรับสื่อมวลชน และศาลรัฐธรรมนูญยืนยันว่าจะมีการถ่ายทอดคำวินิจฉัยผ่าน YouTube ช่องทางอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ประชาชนติดตามได้แบบเรียลไทม์
ขบวนการติดตามจากฝั่งการเมือง
ขณะเดียวกันที่พรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นฐานที่มั่นทางการเมืองของนายกรัฐมนตรี ได้จัดสถานที่รองรับมวลชนที่เดินทางมาสวมเสื้อสีแดงพร้อมข้อความและรูปภาพให้กำลังใจ “อิ๊งค์” โดยมีการติดตั้งจอทีวีเพื่อถ่ายทอดสดคำวินิจฉัยตั้งแต่ช่วงบ่าย ขณะที่บรรดาสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคจะทยอยเดินทางเข้ามาร่วมฟังคำตัดสินด้วย
ส่วนที่ทำเนียบรัฐบาล นายกรัฐมนตรีมีกำหนดการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ก่อนเดินทางเข้าพรรคเพื่อไทยเพื่อพบปะสมาชิกและกลุ่มผู้สนับสนุน
สองทางเลือกแห่งประวัติศาสตร์
คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในวันนี้มีเพียง 2 แนวทางเท่านั้น
- ยกคำร้อง – น.ส.แพทองธารจะยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อไป และกลับมาปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ
- มีความผิดตามคำร้อง – น.ส.แพทองธารจะต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันที และถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี
ผลลัพธ์ไม่เพียงกระทบต่อตัวบุคคล แต่ยังหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทิศทางของการเมืองไทยในอนาคตอันใกล้
เสียงสะท้อนและแรงกระเพื่อม
นักวิชาการด้านการเมืองหลายฝ่ายมองตรงกันว่า ไม่ว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยออกมาในทิศทางใด ย่อมก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมทางการเมือง ทั้งในสภาและนอกสภา หาก “รอด” จะเป็นการยืนยันเสถียรภาพรัฐบาลพรรคเพื่อไทย แต่หาก “ไม่รอด” จะเป็นการเปิดฉากความไม่แน่นอนทางการเมืองครั้งใหม่ทันที
ในขณะเดียวกัน กลุ่มการเมืองที่มีบทบาท เช่น รวมพลังแผ่นดิน ก็ประกาศว่าจะจัดแถลงข่าวทันทีหลังทราบผล เพื่อกำหนดท่าทีเคลื่อนไหวในอนาคต
ศาลรัฐธรรมนูญกับบทบาทในสังคมไทย
ไม่ใช่ครั้งแรกที่ศาลรัฐธรรมนูญต้องทำหน้าที่ชี้ชะตาผู้นำประเทศ เพราะในอดีตเคยมีหลายคดีที่ตัดสินให้นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็นคดีการขัดกันแห่งผลประโยชน์ คดีทุจริต หรือคดีฝ่าฝืนคุณสมบัติ การตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจึงมีน้ำหนักทางการเมืองอย่างมหาศาล
บทเรียนสำคัญที่ประชาชนควรตระหนักคือ ความโปร่งใส ความซื่อสัตย์สุจริต และการยึดมั่นในหลักนิติรัฐ เป็นหัวใจที่ผู้นำทุกคนต้องมี หากขาดสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงทำลายภาพลักษณ์ของรัฐบาล แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชน
บทสรุป
วันนี้จึงไม่ใช่เพียงวันที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินชะตาของ “แพทองธาร ชินวัตร” หากแต่คือวันที่จะถูกบันทึกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ว่าใครจะยืนหยัด ใครจะต้องถอย และอนาคตของประเทศจะเดินหน้าไปในทิศทางใด
📌 ติดตาม ข่าวเด่น และ ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา