
คดี “น้องชมพู่” เด็กหญิงวัย 3 ขวบ จากหมู่บ้านกกกอก จังหวัดมุกดาหาร กลับมาสะเทือนสังคมอีกครั้ง หลังศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำพิพากษาเพิ่มโทษ นายไชย์พล วิภา หรือ “ลุงพล” จากเดิม 20 ปี เป็น 26 ปีเต็ม ด้วยข้อหาหนัก “ฆ่าผู้อื่นโดยเล็งเห็นผล” ร่วมกับข้อหาพรากผู้เยาว์และอำพรางศพ ทำให้สังคมจับตาอีกครั้งว่าคดีที่ลากยาวกว่า 5 ปีนี้กำลังจะปิดฉากลงอย่างไร
🔍 คำพิพากษาที่เปลี่ยนเกม – จาก “ประมาท” สู่ “เจตนาฆ่า”
ย้อนกลับไป 20 ธ.ค. 2566 ศาลจังหวัดมุกดาหารพิพากษาจำคุก “ลุงพล” 20 ปี ในข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และพรากเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปีโดยไม่มีเหตุอันสมควร พร้อมให้ชดใช้ค่าสินไหมแก่ครอบครัวผู้ตาย ขณะเดียวกัน นางสมพร หลาบโพธิ์ หรือ “ป้าแต๋น” ถูกยกฟ้อง
อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้พิจารณาหลักฐานเชิงวิทยาศาสตร์และคำให้การพยานใหม่ จนเห็นว่าเป็นการ “ฆ่าโดยเล็งเห็นผล” ไม่ใช่เพียงความประมาท และเพิ่มโทษจำคุก “ลุงพล” รวม 26 ปี แบ่งเป็น
- ฆ่าผู้อื่นโดยเล็งเห็นผล – 15 ปี
- พรากผู้เยาว์ – 10 ปี
- อำพรางศพ – 1 ปี
🧬 หลักฐานชี้มัด – พิสูจน์ด้วยวิทยาศาสตร์
หนึ่งในจุดเปลี่ยนของคดีคือ ผลตรวจนิติวิทยาศาสตร์ ที่ชี้ว่า “น้องชมพู่” ถูกพาขึ้นภูเหล็กไฟเมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2563 โดยไม่มีอาหารและน้ำติดตัว และเสียชีวิตจากการขาดน้ำ-อาหาร ระหว่างวันที่ 12-13 พ.ค. หลักฐานยืนยันว่า “ลุงพล” คือผู้พาเด็กออกจากบ้านโดยผู้ปกครองไม่รู้เห็น และกลับลงจากภูเพียงลำพังในวันถัดมา
พยานหลักฐานดังกล่าวสอดคล้องกับข้อหาพรากผู้เยาว์และฆ่าโดยเจตนา เพราะจำเลยรู้อยู่แล้วว่าการปล่อยเด็กเล็กไว้ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นย่อมทำให้เสียชีวิตได้
💔 ความรู้สึกครอบครัวผู้เสียชีวิต
พ่อและแม่ของน้องชมพู่ เปิดใจว่ารู้สึกดีใจที่ลูกได้รับความเป็นธรรม หลังต่อสู้คดีมายาวนานเกือบครึ่งทศวรรษ และขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ไม่หยุดค้นหาความจริง
🚔 คุมตัวเข้าเรือนจำ – ปรับตัวได้ในคืนแรก
หลังคำพิพากษา เจ้าหน้าที่คุมตัว “ลุงพล” ไปเรือนจำจังหวัดมุกดาหาร โดยศาลฎีกายังไม่ทันพิจารณาคำร้องขอประกันตัว
รองโฆษกกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า คืนแรกในเรือนจำ “ลุงพล” สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว ไม่แสดงอาการเครียดรุนแรง และยังพูดคุยกับเพื่อนร่วมห้องขังได้ตามปกติ เบื้องต้นถูกแยกกักโรคโควิด-19 ร่วมกับผู้ต้องขังใหม่ 5 วัน ก่อนเข้าสู่แดนขังรวม
📚 เกร็ดกฎหมายที่ควรรู้ – “ฆ่าโดยเล็งเห็นผล” คืออะไร?
ในทางกฎหมายไทย “ฆ่าโดยเล็งเห็นผล” หมายถึง การกระทำที่แม้ไม่ได้ตั้งใจฆ่าโดยตรง แต่รู้ว่าผลลัพธ์ของการกระทำนั้นจะทำให้ผู้อื่นเสียชีวิต และยังยอมรับความเสี่ยงนั้น เช่น การปล่อยเด็กเล็กอยู่ในพื้นที่กันดารโดยไม่มีอาหารและน้ำ ซึ่งถือว่าผู้กระทำเล็งเห็นผลแล้ว
📰 มุมมองสังคม – ทำไมคดีนี้ดังไม่จางหาย
- กระแสโซเชียลและสื่อมวลชน รายงานต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563
- บุคคลในคดี กลายเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ทั้งในข่าวและโซเชียลมีเดีย
- ประเด็นความยุติธรรม ที่หลายฝ่ายจับตามอง เพราะใช้เวลาสืบพยานและพิสูจน์ข้อเท็จจริงยาวนาน
📌 สรุปคดี “น้องชมพู่ – ลุงพล”
- เกิดเหตุ: 11 พ.ค. 2563
- พบศพ: 14 พ.ค. 2563 บนภูเหล็กไฟ
- ศาลชั้นต้น: จำคุก 20 ปี (ธ.ค. 2566)
- ศาลอุทธรณ์: เพิ่มโทษเป็น 26 ปี (ส.ค. 2568)
- ข้อหา: ฆ่าโดยเล็งเห็นผล, พรากผู้เยาว์, อำพรางศพ
- สถานะ: อยู่ระหว่างฎีกา คุมขังในเรือนจำมุกดาหาร
แม้คดีนี้จะยังไม่สิ้นสุดเพราะยังอยู่ในชั้นฎีกา แต่คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ก็ได้เปลี่ยนมุมมองต่อคดีอย่างสิ้นเชิง ทั้งในแง่ข้อเท็จจริงและบทเรียนทางสังคม คดี “น้องชมพู่” จึงไม่ใช่เพียงข่าวอาชญากรรม แต่เป็นเครื่องสะท้อนว่าความยุติธรรมต้องใช้เวลาและความพยายามมหาศาลในการค้นหาความจริง
ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา