
ในห้วงสถานการณ์ตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ณ ขณะนี้ หนึ่งในอาวุธที่ถูกพูดถึงอย่างร้อนแรงที่สุดคือ PHL-03 ขีปนาวุธหลายลำกล้องจากจีน ที่กัมพูชาเคลื่อนไหวข่มขู่ด้วยพลังทำลายล้างอันน่าสะพรึง ความสามารถของมันไม่ใช่แค่การยิงไกล 130 กิโลเมตร แต่ยังสามารถทำลายพื้นที่ได้กว้างถึง 420 ไร่ หรือกว่า 8 สนามฟุตบอล เมื่อยิงพร้อมกันทั้ง 12 ท่อ นี่ไม่ใช่แค่ภัยคุกคามทางทหารธรรมดา แต่คือการข่มขู่ประชาชนไทยอย่างโจ่งแจ้ง!
พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ยืนยันว่า สถานการณ์ชายแดนยังไม่สงบ โดยเฉพาะพื้นที่ ภูมะเขือ, ปราสาทตาเมือนธม, และ ปราสาทตาควาย ในจังหวัดสุรินทร์ มีการปะทะด้วยอาวุธหนักตั้งแต่ช่วงเช้ามืด แม้ล่าสุดจะเริ่มเบาลง แต่ยังคงไม่สามารถไว้วางใจได้
ขณะที่ พล.ต.วันชนะ สวัสดี หรือ “เสธ.เบิร์ด” ให้สัมภาษณ์ชัดเจนว่า การขยับขีปนาวุธ PHL-03 ของกัมพูชานั้น มีลักษณะชัดเจนของการข่มขู่และสร้างความหวาดหวั่นต่อประชาชนไทย พร้อมระบุว่า หากอีกฝ่ายใช้มันจริง ไทยก็จำเป็นต้องตอบโต้เพื่อทำลายเป้าหมายทางลึกเพื่อความปลอดภัยของประเทศ
การใช้ PHL-03 ไม่ใช่เรื่องเล็ก เพราะมันสามารถครอบคลุมพื้นที่ถึง 16 จังหวัดของไทยในรัศมี 130 กิโลเมตร ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มภาคหลัก:
📍 ภาคตะวันออก (7 จังหวัด)
- สระแก้ว
- ฉะเชิงเทรา
- จันทบุรี
- ตราด
- ปราจีนบุรี
- ชลบุรี
- ระยอง
📍 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (9 จังหวัด)
- นครราชสีมา
- บุรีรัมย์
- สุรินทร์
- ศรีสะเกษ
- อุบลราชธานี
- มหาสารคาม
- ร้อยเอ็ด
- ยโสธร
- อำนาจเจริญ
โดยเฉพาะจังหวัดชายแดนอย่าง สุรินทร์, ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ที่อยู่ในแนวหน้า นับว่าเป็นด่านแรกที่อาจเผชิญภัยโดยตรงหากสถานการณ์ลุกลาม
📌 รู้จัก PHL-03: ขีปนาวุธสุดอันตรายจากแดนมังกร
PHL-03 หรือชื่อเต็มในภาษาจีนคือ “Type 03 Multiple Launch Rocket System (MLRS)” คือขีปนาวุธหลายลำกล้องที่จีนส่งออกให้หลายประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงกัมพูชา มันมีลักษณะใกล้เคียงกับ BM-30 Smerch ของรัสเซีย แต่พัฒนาโดยอิงเทคโนโลยีจีนอย่างสมบูรณ์แบบ จุดเด่นของมันคือ
- ยิงได้ไกลถึง 130 กิโลเมตร
- ติดตั้งจรวด 12 ท่อยิงพร้อมกัน
- พิสัยครอบคลุมสูงสุดถึง 420 ไร่
- บรรจุหัวรบแรงสูง ทั้งแบบระเบิดแรงดันสูงและสะเก็ดระเบิด
- ระบบควบคุมยิงทันสมัย ใช้งานร่วมกับดาวเทียม
ความสามารถนี้ทำให้ PHL-03 ไม่ใช่แค่ “ปืนใหญ่เคลื่อนที่” แต่คือ ระบบทำลายล้างมวลชนในระยะไกล ที่น่ากังวลอย่างยิ่งหากใช้ในพื้นที่ที่มีพลเรือน
🇹🇭 ไทยเตรียมพร้อมตอบโต้ ไม่ใช่เรื่องเล่น!
กองทัพไทย โดยกองทัพภาคที่ 2 ได้สั่งเฝ้าระวังและเตรียมการตอบโต้หากมีการใช้อาวุธขีปนาวุธจากฝั่งกัมพูชาจริง พล.ต.วันชนะ ย้ำว่า ไทยไม่ได้เริ่มก่อน แต่จำเป็นต้องป้องกันตนเองจากภัยที่ชัดเจน ทั้งจากการโจมตีโรงเรียน โรงพยาบาล สถานีบริการน้ำมัน และพื้นที่พลเรือนอื่น ๆ ในรัศมีที่ PHL-03 ยิงถึงได้
นอกจากนี้ ยังมีภาพข่าวการเคลื่อนย้ายขีปนาวุธหลายลำกล้องจากเขตกัมพูชามาประชิดชายแดนอย่างมีนัยยะ แม้ยังไม่เกิดการยิงจริง แต่แค่การขยับและสาธิตศักยภาพก็เพียงพอจะสร้างแรงกดดันและความหวาดกลัวให้กับประชาชนฝั่งไทย
📚 เสริมความรู้: ขีปนาวุธ VS จรวดหลายลำกล้อง ต่างกันอย่างไร?
แม้หลายคนจะเข้าใจว่า PHL-03 คือ “ขีปนาวุธ” แท้จริงแล้วมันคือ จรวดหลายลำกล้อง (MLRS) ซึ่งต่างจาก “ขีปนาวุธ” ที่มีระบบนำวิถีและสามารถควบคุมเป้าหมายได้แม่นยำกว่า ส่วนจรวดหลายลำกล้องมีข้อดีตรงที่ยิงพร้อมกันได้หลายลูก กระจายความเสียหายในวงกว้าง แต่จะไม่แม่นยำเท่าขีปนาวุธนำวิถีแบบแท้จริง
ถึงกระนั้น ความสามารถในการยิงพร้อมกัน 12 ลูกในพริบตา และครอบคลุมพื้นที่กว่า 400 ไร่ ก็เพียงพอที่จะเปลี่ยนสนามรบให้กลายเป็น “ดินแดนมรณะ” ได้ทันทีหากถูกใช้ในสนามจริง
🚨 ประชาชนไทยควรรู้อะไร?
- พื้นที่เสี่ยงใน 16 จังหวัด ควรมีแผนรับมือ และฝึกซ้อมแผนอพยพอย่างจริงจัง
- ติดตามข่าวสารจาก กองทัพ และหน่วยงานภาครัฐอย่างใกล้ชิด
- อย่าแชร์ข่าวลือโดยไม่มีแหล่งอ้างอิง เพราะอาจกระทบต่อความมั่นคงโดยรวม
- รับรู้ว่าไทยมีศักยภาพในการตอบโต้ได้ทัดเทียม และไม่ได้นิ่งเฉยต่อสถานการณ์นี้
แม้การปะทะจะยังไม่ถึงขั้นขยายวงกว้าง แต่ด้วยศักยภาพของอาวุธที่เริ่มเข้าสู่ระดับไกลและแม่นยำมากขึ้น เราทุกคนไม่ควรมองข้ามข้อมูลความมั่นคง เพราะความปลอดภัยเริ่มต้นจาก “การรู้เท่าทัน”
ติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ได้ที่ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา เพื่อไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวที่อาจส่งผลกระทบต่อประเทศของเรา!