
แม้สถานการณ์ชายแดนจะร้อนระอุถึงขีดสุด แต่ในสงครามเทคโนโลยีที่ใช้วัดพลังกันบนเวหา ดูเหมือนว่าไทยจะเป็นฝ่ายกุมความได้เปรียบ เมื่อ F-16 เครื่องบินขับไล่ความเร็วเหนือเสียงรุ่นหลักของกองทัพอากาศไทย ถูกส่งขึ้นประจำการแนวชายแดนในภารกิจป้องกันดินแดน ก่อนมีรายงานว่าได้ยิงตอบโต้และทิ้งระเบิดใส่เป้าหมายในฝั่งกัมพูชาที่ถูกระบุว่าเป็นจุดตั้งฐานของฝ่ายตรงข้าม
เหตุการณ์ปะทะเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงเช้ามืดวันที่ 24 กรกฎาคม 2568 หลังมีเหตุทหารไทยเหยียบกับระเบิดในพื้นที่พิพาทบริเวณชายแดน ก่อนที่ต่อมาจะมีรายงานการเคลื่อนกำลังของฝ่ายกัมพูชา โดยเฉพาะการใช้ โดรนลาดตระเวน และขนอาวุธหนักเข้าใกล้แนวชายแดน จนกลายเป็นชนวนให้กองทัพไทยส่ง ฝูงบิน F-16 จำนวน 6 ลำ ขึ้นเวหา เพื่อแสดงศักยภาพตอบโต้การรุกราน
แหล่งข่าวจาก Global Times สื่อของรัฐบาลจีน รายงานว่า ปฏิบัติการโจมตีทางอากาศครั้งนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลา 04.30 น. ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ความตึงเครียดแตะระดับสูงสุด กองทัพไทยได้ใช้เครื่องบินขับไล่โจมตีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายตรงข้าม โดยอ้างว่าเป็นการตอบโต้การยิงก่อนของฝ่ายกัมพูชา บริเวณแนวชายแดนใกล้ปราสาทตาเมือนธม
ขณะที่ทาง กัมพูชาออกมาปฏิเสธเสียงแข็งว่า การโจมตีทางอากาศของไทยเป็นการละเมิดอธิปไตยโดยตรง และอ้างว่าเครื่องบินเพียงทิ้งระเบิด 2 ลูกบนถนนในเขตชุมชน แต่ไม่สามารถยืนยันแหล่งที่มาได้อย่างชัดเจน
F-16 อาวุธทางอากาศสุดล้ำแห่งกองทัพไทย
เครื่องบินขับไล่ F-16 Fighting Falcon ของไทย เป็นเครื่องบินรบอเนกประสงค์ที่ถือว่าเป็นกำลังหลักของกองทัพอากาศมายาวนาน ด้วยความเร็วสูงสุดกว่า 2,400 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สามารถติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถี, ระเบิดอัจฉริยะ และระบบป้องกันตัวเองทันสมัย โดยเฉพาะรุ่น F-16 A/B Block 15 ที่ผ่านการปรับปรุงอัปเกรดเป็นเวอร์ชัน MLU (Mid-Life Update) ทำให้มีระบบเรดาร์ที่แม่นยำและล้ำหน้ากว่าคู่แข่งอย่างชัดเจน
จุดแข็งของ F-16 คือความคล่องตัว ความเร็ว และความแม่นยำในการล็อกเป้าหมาย ซึ่งทำให้ไทยสามารถตอบโต้หรือป้องกันภัยทางอากาศได้ทันที ในขณะที่กัมพูชายังพึ่งพาอาวุธภาคพื้นดินและจรวดแบบยิงทางตรง
จีนมองสถานการณ์อย่างไร?
ผู้เชี่ยวชาญด้านกิจการทหารของจีนอย่าง Zhang Junshe ให้สัมภาษณ์กับ Global Times ว่า แม้ไทยและกัมพูชาจะเป็นพันธมิตรของจีน แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงในการเผชิญหน้าแบบเต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตามเขาย้ำว่า ไทยมีความได้เปรียบในเชิงเทคโนโลยี เพราะมีอาวุธทันสมัยกว่า โดยเฉพาะการใช้เครื่องบินขับไล่ เทียบกับปืนใหญ่จรวด BM-21 ของฝั่งตรงข้าม
“การปะทะที่เริ่มต้นจากความขัดแย้งบริเวณปราสาทตาเมือนธม หากไม่หาทางออกทางการทูต อาจนำไปสู่การบานปลายในระดับภูมิภาค” Zhang กล่าว
รายงานเหตุการณ์วันที่ 25 กรกฎาคม 2568
- 04.30 น. ฝ่ายไทยตรวจพบการเคลื่อนกำลังของกัมพูชาในแนวชายแดนหลายจุด โดยเฉพาะบริเวณ “กษัตริย์ศึก”
- 04.50 น. หน่วยทัพนเรศวรตรวจพบรถถัง 6 คันของกัมพูชา บริเวณตรงข้ามช่องปลดต่าง
- 05.23 น. เริ่มมีเสียงปืนดังในพื้นที่ช่องบก ก่อนจะลุกลามเป็นการปะทะเต็มรูปแบบ
- 05.30 น. กองทัพไทยใช้รถถังเบา Scorpion ยิงสนับสนุน พร้อมส่งปืนใหญ่ ATMG 155mm ยิงต้าน BM-21
- 05.50 น. ฝ่ายไทยเริ่มเปิดฉากโจมตีพื้นที่ภูมะเขือ
ข้อมูลจาก กองทัพบก ทันกระแส และ กองทัพภาคที่ 2 ระบุว่า มีการสูญเสียของฝ่ายกัมพูชามากถึง 23 ราย รวมถึงประชาชนและพระสงฆ์ในพื้นที่
การวิเคราะห์จากเชิงยุทธศาสตร์
สิ่งที่เห็นได้ชัดจากเหตุการณ์นี้คือ ความสามารถในการตอบโต้และควบคุมสถานการณ์ของไทยอยู่ในระดับสูง ทั้งการใช้ เทคโนโลยีทันสมัย, ระบบสื่อสารแบบเรียลไทม์, และ ประสบการณ์ในการควบคุมแนวชายแดน ที่ผ่านมา ไทยเคยประสบเหตุความไม่สงบในหลายพื้นที่ แต่ยังสามารถรักษาเสถียรภาพได้อย่างมั่นคง
การนำ F-16 ขึ้นบินในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการตอบโต้ แต่เป็นการส่งสัญญาณว่ากองทัพไทยมีความพร้อมที่จะปกป้องอธิปไตยทุกตารางนิ้ว โดยไม่จำเป็นต้องรอให้สถานการณ์บานปลาย
อาวุธหลักของแต่ละฝ่ายที่ถูกใช้งาน
ประเทศ | อาวุธหลักที่ใช้ในการปะทะ | รายละเอียด |
---|---|---|
ไทย | F-16 Fighting Falcon | เครื่องบินรบความเร็วเหนือเสียง ติดอาวุธนำวิถีล้ำสมัย |
ไทย | ปืนใหญ่ ATMG 155mm | ผลิตในประเทศ ยิงสนับสนุนแม่นยำสูง |
ไทย | รถถัง Scorpion | รถถังเบาคล่องตัว ใช้สนับสนุนแนวหน้า |
กัมพูชา | จรวด BM-21 | ระบบยิงจรวดแบบหลายลำกล้อง พิสัยปานกลาง |
กัมพูชา | โดรนลาดตระเวน | ใช้สอดแนมและระบุพิกัดการโจมตี |
แม้กัมพูชาจะมีอาวุธหนักบางประเภท แต่หากเปรียบเทียบศักยภาพเชิงลึก ไทยยังคงได้เปรียบในด้านเทคโนโลยี ความแม่นยำ และระบบป้องกันที่เหนือชั้น
บทสรุปจากบ้านกีฬา
บ้านกีฬา ขอย้ำว่าสถานการณ์เช่นนี้ไม่ควรถูกมองเพียงแค่การปะทะทางทหาร แต่ควรถูกวิเคราะห์อย่างรอบด้าน ทั้งในเชิงยุทธศาสตร์ การเมืองระหว่างประเทศ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อความมั่นคงของชาติ การที่ F-16 ถูกนำมาใช้ในภารกิจจริง ถือเป็นหมากเดินที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของกองทัพไทยอย่างแท้จริง พร้อมกับส่งสัญญาณถึงทุกฝ่ายว่า “แผ่นดินไทย ไม่มีใครรุกล้ำได้โดยง่าย”
สุดท้ายนี้ บ้านกีฬา ขอเป็นกำลังใจให้ทุกชีวิตที่ปกป้องผืนแผ่นดินของเรา และติดตาม ข่าวเด่น ข่าววันนี้ ข่าวการค้นหาที่มาแรงบ้านกีฬา ทุกวัน เราจะไม่พลาดทุกความเคลื่อนไหวของโลกใบนี้ที่สะเทือนมาถึงแผ่นดินไทย